มาหาเงินออนไลน์กันเถอะ ตอนที่ 4 ว่าด้วย e-commerce

e-commerce-catalog

ส่วนนี้จะว่าเริ่มง่ายที่สุดก็ได้ หรือจะว่ามันไม่ง่ายก็ได้ เราสามารถขายของออนไลน์ได้โดยที่เรายังไม่ต้องทำเว็บเลย เพราะมีช่องทางต่างๆนานาให้เราได้ใช้ เช่น พวก marketplace ต่างๆ เช่น Dealfish.com อ๊ะ ไม่ซิ เดี๋ยวนี้เขาเปลี่ยนเป็น olx.com ละ หรือถ้าตามสมัยนิยมก็เปิด แฟนเพจ หรือ instagram เป็นต้น นั่นคือเรามีที่ปล่อยของได้ฟรี ทำดีๆก็รวยได้เลยนะ

แต่เรามักจะได้ยินคำถามอยู่บ่อยครั้งว่า จะขายอะไรดี ไม่รู้จะเริ่มยังไง ผมเองก็เคยมีคำถามแบบนี้เช่นกัน ผมจะขอแชร์วิธีของผมแล้วกันครับ หาของในบ้านเราเนี่ยแหล่ะมาขาย ลองเริ่มจากตรงนั้นดูก็ได้ครับ แล้วเดี๋ยวผมจะมาแนะนำแหล่งสินค้าที่จะรับมาขายให้นะครับ ถามว่าเราจะเริ่มค้าขายออนไลน์ได้ยังไง สำหรับตัวผมๆจะวางแผนช่องทางการจำหน่ายของผมไว้ก่อน ถ้าผมมากางดูว่ามันมีอะไรบ้าง มันจะมีดังนี้ครับ

ช่องทางที่ไม่ต้องเสียเงิน
1. ขายผ่าน Market place เช่น olx.com, Pantipmarket.com เป็นต้น 2 แหล่งที่กล่าวมา คนเข้าเยอะมากครับ ขายของได้แน่นอน ข้อดีของช่องทางนี้ คือ เนื่องจากมีคนมาโพสมาหาของกันเยอะ ทำให้มีผลต่อ Search engine ด้วย และคนที่เข้ามาใน Market Place นั้น เป็นคนที่มองหาสินค้าอยู่แล้ว ถ้าของเราตรงความต้องการของเขา เราขายได้แน่นอน แต่ข้อเสียหลักๆเลยคือ เนื่องจากมีคนมาโพสเยอะ อันดับของคุณจะถูกดันลงไปด้านล่างเร็วมาก

2. ขายผ่าน Social network ต่างๆเช่น facebook,instagram, Line หรือ pinterest เป็นต้น แต่ผมยังไม่ค่อยได้เล่น pinterest เท่าไหร่ ข้อดีหลักของช่องทางนี้คือ คนใช้เยอะ สามารถรวบรวมฐานข้อมูล (follower) ได้เยอะ และง่าย ข้่อเสียหลักเลยคือ กฎของการใช้ Social Network นั้น ปรับเปลี่ยนค่อนข้างบ่อย ซึ่งเราต้องตามให้ทัน

3. ขายผ่าน blog ที่ให้บริการฟรี เช่น blogger.com เป็นต้น การทำ blog จะได้ผลดีในด้าน Search Engine ครับ และในระยะยาว ช่องทางนี้จะมีประโยชน์ที่สุด ข้อเสียเลยของช่องทางนี้ก็คือ ต้องสร้าง blog เป็น อาจจะต้องมีความรู้เรื่อง SEO บ้าง และถ้าหากอยากจะอยู่ยาวอาจจะต้องมีการลงทุนอะไรกันบ้างครับ

ช่องทางที่ต้องเสียเงิน (ผมจะยังไม่ลงรายละเอียด ณ ตอนนี้นะครับ)
1. ขายผ่าน เว็บไซต์ ที่เราทำขึ้น ข้อดีจะเหมือนกับการขายผ่าน Blog นั่นแหล่ะ แต่จะดูน่าเชื่อถือกว่า Blog ครับ ส่วนข้อเสีย ก็เหมือนกับการขายผ่าน Blog เช่นกัน

2. ขายผ่านโมบายแอพพลิเคชั่น ข้อดี เนื่องจากคนสมัยนี้คนใช้สมาร์ทโฟนกันเยอะมาก ถ้าเขาลงแอพของเราแล้วนั้น โอกาศที่เขาจะเข้าถึงข้อมูลสินค้าก็จะมีมากขึ้น แต่ข้อเสียคือ จะมีสักกี่คนที่ Download แอพเราล่ะ

สำหรับช่องทางข้างต้น เพื่อนๆสามารถเลือกมาใช้ได้หลายรูปแบบนะครับ ผมใช้มันเกือบทุกรูปแบบนั่นแหล่ะ แต่มันจำเป็นจะต้องมีหัวหอก คือ ตัวเมนหลักนั่นเอง สมัยก่อนผมเน้นผ่านเว็บครับ แต่ตอนนั้นทำไปทำมาคนก็เข้ามาจากทาง facebook เป็นหลัก มาครั้งใหม่นี้ผมเลยเลือก facebook เป็นตัวหลัก และนอกนั้นเป็นตัวเสริม หลักในการเลือกของผมก็คือ ผมจะเลือกอะไรที่เราสามารถมีสมาชิกได้ ดังนั้น พวก Social network จึงเป็นทางเลือกแรกของผมนั่นเอง แต่แน่ล่ะ มันมีข้อเสียแน่ๆครับ เพราะไม่มีทุกอย่างสมบูรณ์แบบ เนื่องจากตัว Social network นั้น ทำอันดับบนเสิร์ชเอ็นจิ้นยากกว่าพวกเว็บครับ (จากที่ผมทำมานะ ใครจะแย้งก็ได้) แต่ผมเลือกที่จะไม่แคร์ในส่วนนั้นมากนัก (ณ เวลานี้) เพราะว่า หากผมมีฐานลูกค้าเยอะในมือ ผมสามารถติดต่อพวกเขาได้โดยตรง ผมอาจจะไม่จำเป็นต้องพึ่งพาพี่ Google ก็เป็นได้ (สมมติฐานของผมเองนะครับ) แต่จุดอันตรายที่สำคัญของการพึ่งพา Social network ก็คือ เราไม่ได้เป็นผู้กำหนดกฎของ Social นั้นๆ ที่จริงคนที่ใช้ facebook fan page มานานก็คงจะทราบดีว่า พี่มาร์คเปลี่ยนกฎตลอดเวลา เพื่อให้เราไปเสียเงินซื้อแอดใน facebook โดยการลด Organic reach ลงข่าวล่าสุดคือลดลงเหลือ 1% นั่นหมายความว่า ในแฟนเพจเรามีคนไลค์เท่าไหร่ ไม่ใช่ทุกคนที่จะเห็นโพสของเรา แต่จะมีแค่ 1% เท่านั้นที่เห็น วิธีที่จะทำให้ทุกคนเห็นได้ก็คือ การซื้อโฆษณากับพี่มาร์คนั่นเอง แต่ก็เข้าใจแหล่ะ คนเราก็ทำมาหากิน เขาคงไม่ทำบริการให้เราใช้ฟรีไปทั้งหมดหรอกครับ

และ้เมื่อเราได้ช่องทางหลักเราแล้ว ช่องทางอื่นๆ เราจะให้มันเป็นช่องทางเสริมนั่นเอง เพราะเราต้องการให้คนเข้าเยอะๆอยู่แล้วจริงมั้ย อย่างเช่น ช่องทางผ่าน Market place ต่างๆ เราก็เอาข้อมูลเราไปโพสซะ ถ้าเขาให้ติดลิงค์ เราก็ใส่ลิงค์ของ Facebook เราลงไป เพื่อให้คนกลับเข้ามาที่ร้านของเรา ส่วนช่องทาง Social network ตัวอื่นๆนอกเหนือจาก Facebook เราก็เอามาเป็นตัวเสริมก็ได้ครับ ทั้งหมดให้พยายามใส่ลิงค์กลับมาที่ช่องทางหลักของเรา ส่วนเรื่อง Blog เนี่ย ก็เช่นกัน เราสามารถสร้าง Blog หรือเว็บขึ้นมา แล้วก็โพสสินค้าของเราลงไป แล้วลิงค์กลับมาที่ facebook ให้ได้

ทีนี้กลับมาที่แหล่งที่มาของสินค้าครับ
1. เอาสินค้าในบ้านที่ไม่ใช้แล้วมาขายครับ ร้านขายของออนไลน์ของผมล่าสุดผมเริ่มด้วยวิธีนี้ครับ เอาของจากในบ้านมาขาย เช่น หนังสือการ์ตูนเก่าๆ (ขายดีมาก) มือถือเก่า เป็นต้น

2. ไปตามแหล่งขายส่ง เช่น Platinum ประตูน้ำ สำเพ็ง เพื่อซื้อของมาขายต่ออีกที ในส่วนนี้ร้านเก่าของผมใช้วิธีนี้ครับ คือเอาของจากสำเพ็งและแพลตตินั่มมาขายอีกที โดยเราไปซื้อในราคาส่งกับทางร้าน แล้วเอามาขายผ่าน Facebbok ช่วงก่อนหน้านี้สัก 2-3 ปี มันทำเงินให้ผมได้เยอะมากครับ แต่ก็เป็นไปตามวัฏจักรครับ คนเริ่มกระโดดเข้ามาเยอะขึ้น อันที่จริงคนขายเยอะผมไม่กลัวนะ แต่ปัญหาหลักเลยเมื่อมีคู่แข่งเข้ามาเยอะๆคือ การตัดราคาสินค้า ซึ่งวิธีนี้มันทำให้ธุรกิจพากันตายหมดครับ แต่ก็ใช่ว่าเดี๋ยวนี้จะทำไม่ได้นะครับ เหมาะกับการเริ่มต้นธุรกิจอยู่เหมือนกัน เพราะไม่ต้องสต๊อกของเยอะ แบกทุนน้อยนั่นเอง และหากเราจับทางได้ว่าลูกค้าเราชอบซื้ออะไร แบบไหนมากกว่ากัน เราก็สั่งจำนวนที่สูงขึ้นได้ และสามารถเจรจาเรื่องราคาได้เพิ่มอีกด้วย

3. สั่งของจากเมืองนอกมาขาย เช่น ebay, alibaba เป็นต้น วิธีนี้ ธุรกิจล่าสุดของผมหลังจากเอาของในบ้านมาขายแล้วนั้น ผมก็เริ่มสั่งของเข้ามาขายจากเมืองนอก เพราะเท่าที่เห็นกำไรส่วนต่างก็เป็นตัวเลขทีใช้ได้เลย แต่วิธีนี้เราจะต้องรอสินค้าเป็นเวลานานอยู่เหมือนกันครับ เดี๋ยวนี้คนทำวิธีนี้เยอะเหมือนกันครับ

4. หาแหล่งผลิต และสร้างแบรนด์ของตัวเอง วิธีนี้เป็นวิธีที่ผมอยากทำมากครับ มันทำยากสุด แต่ถ้าสำเร็จจะได้กำไรสูงที่สุดครับ และกินยาวเลย ข้อเสียของวิธีนี้คือ ต้องลงทุนสร้างแบรนด์ ซึ่งต้องใช้ทั้งความรู้ และเงินครับ

5. Dropship วิธีสุดท้ายนี้กำลังเป็นที่นิยมในขณะนี้ ผมเองก็ไม่ค่อยรู้เรื่องมากนัก ส่วนใหญ่เขาจะเอาไปขายบน ebay หรือ amazon หลักการคือ จะมี Supplier ที่ผลิตสินค้าออกมา หน้าที่ของเราก็คือ เอาสินค้าเขาไปขาย โดยเขาจะให้รูปมา พร้อมรายละเอียด เมื่อเราขายได้เราก็จะไปสั่งซื้อสินค้าจากเขาโดยจ่ายในราคาที่ตกลงกัน แล้วทาง Supplier จะเป็นผู้ส่งของออกไปให้ เป็นวิธีจับเสือมือเปล่าเลยก็ว่าได้ ไม่ต้องมีสต๊อก ไม่ต้องลงทุนอะไรมากมาย แต่ข้อเสียเลยก็คือ สินค้าจะโหลครับ เพราะคนไทยชอบของฟรีแบบนี้อยู่แล้ว ชอบจับเสือมือเปล่า ทำให้คนลงมาเล่นช่องทางนี้กันเยอะ นึกดูนะครับ ของที่เอาขึ้นก็จะเหมือนๆกัน และหนีไม่พ้นการตัดราคาเช่นเดิม และหากโชคไม่ดี เจอ Supplier แย่ๆ ส่งของช้า เราก็จะเสียชื่อน่ะครับ

แหล่งของสินค้าทั้งหมดที่ผมทราบก็จะมีประมาณนี้ครับ เพื่อนๆจะเลือกใชีวิธีไหนก็ลองเลือกดูนะครับ ส่วนผมก็เลือกวิธีที่ 1 และ 3 ณ ตอนนี้ครับ ส่วนเรื่อง Dropship ก็กำลังดูๆอยู่ครับ อาจจะลองเล่นดู

ครั้งหน้า เราจะไปพูดถึงช่องทางที่ 2 นะครับ นั่นคือ "การขายโฆษณาบนเว็บไซต์ หรือ blog ของเรา"

Comments