Is it the end of physical product (CD/VCD)??

จริงหรือที่ตลาดของ CD/VCD (physical product) ถึงกาลอวสาน

ฉลองครบล้านตลับ! หรือ 1 mil copies! เพื่อนๆคงเคยได้ยินกันมาบ้างนะครับสำหรับคนยุคเดียวกับผม ช่วงหนึ่งของวงการเพลงบ้านเรา เพื่อนๆจะได้ยินค่ายเพลงต่างๆออกมาประกาศฉลองครบล้านกันอยู่บ่อยๆ แม้กระทั่งแร๊พเปอร์หนุ่มจากค่ายเล็กๆอย่าง Bakery Music, Joeyboy ก็ยังได้ฉลองครบล้านกันไป เป็นยุคสมัยที่วงการเพลงเติบโตอย่างมาก มีค่ายเล็กค่ายน้อยต่างผุดขึ้นมาเป็นเหมือนดอกเห็ด แต่ทุกวันนี้เพื่อนๆยังได้ยินอัลบั้มไหนฉลองครบล้านกันบ้างมั้ยครับ อืมมมม ... ผมว่าน้อยนะ เท่าที่นึกได้ก็มี โปงลางสะออน เท่าที่รู้ทุกวันนี้อัลบั้มไหนขายได้เลข 6 หลักก็ถือว่าสุดยอดแล้วครับ

เปิดหัวเรื่องกันแบบนี้ ถูกต้องครับ! วันนี้เรามาพูดคุยถึงเรื่องตลาด CD/VCD เพลงของบ้านเรากันดีกว่าครับ ทุกวันนี้ผมเชื่อว่าเพื่อนๆคงได้ยินเรื่องกระแสเพลงดิจิตอล (Digital music) ที่กำลังจะเข้ามาแทนที่ตลาด CD/VCD หรือที่เรียกว่า physical goods เวลาของ CD/VCD หมดแล้วงั้นหรือ ทำไมถึงเป็นอย่างนั้น ผมว่าเรามารู้จักตลาด physical นี้กันก่อนดีกว่านะครับ

เพื่อนๆรู้มั้ยว่าสินค้าประเภทเพลงนี้มีอายุค่อนข้างสั้นมาก ถึงสั้นมากที่สุด คืออัลบั้มไหนไม่มีกระแสภายใน 1 อาทิตย์ถึง 1 เดือน ก็เตรียมขุดหลุมฝัง เนื่องจากธรรมชาติของธุรกิจ CD/VCD นั้น เป็นธุรกิจที่สามารถคืนสินค้าได้ 100% ถามว่ามันหมายความว่าไง มันหมายความว่า เมื่อร้านค้า (ยี่ปั๊ว, ซาปั๊ว) รับสินค้าไปขายนั้น เมื่อถึงเวลาหนึ่ง เมื่อสินค้าเริ่มไม่มียอดขาย(ขายไม่ออก) ทางร้านก็จะทำการคืนสินค้าที่เหลือทั้งหมดกลับมาที่บริษัทจัดจำหน่าย ตรงนี้นี่แหล่ะที่เป็นตัวปัญหาที่แก้ไม่ตกของเหล่าบริษัทจัดจำหน่ายทั้งหลาย เพราะสินค้าเหล่านั้นที่กลับมาถือว่าเป็นค่าใช้จ่ายทั้งหมด และจะเกิดอะไรขึ้นถ้ารายได้ (ยอดขายหักค่าลิขสิทธิ์และต้นทุนต่างๆ) น้อยกว่ามูลค่าของสินค้าที่กลับเข้ามา คำตอบง่ายๆคือ “ขาดทุน” ทีนี้เพื่อนๆอาจจะมีคำถามตามมาว่า แล้วต้องผลิตออกมาเท่าไหร่ถึงจะไม่ขาดทุน สำหรับศิลปินที่เคยมีผลงานมาแล้วก็จะง่ายหน่อย ทางค่ายก็จะใช้ตัวเลขยอดขายของอัลบั้มที่แล้วมาเป็นบรรทัดฐาน (base) แล้วก็ดูกระแสของตลาดว่าตัวศิลปินนั้นๆ มีผลงานอื่นๆออกมามั้ย ณ.ช่วงเวลานั้นๆ เช่น ถ้าฟิลม์กำลังจะออกอัลบั้มใหม่ ทางค่ายก็จะดูแล้วว่าฟิลม์ชุดที่แล้วมียอดขายอยู่ที่เท่าไหร่ แล้วก็จะมาดูกระแสของฟิลม์ ณ.เวลานี้เป็นยังไง มีผลงานอะไรอยู่บ้างมั้ย มีงานถ่ายโฆษณาอะไรอยู่รึเปล่า ถ้าช่วงเวลาที่จะออกอัลบั้มใหม่นั้น ศิลปินมีผลงาน หรือกระแสอยู่ในตลาด ตัวเลขก็อาจจะเพิ่มขึ้นจากยอดขายชุดที่แล้วบ้าง ทีนี้ถ้าเป็นศิลปินใหม่หล่ะจะมีวิธีกำหนดตัวเลขยังไง ปัจจัยหลักที่จะนำมาคำนวณตัวเลขคือตัวศิลปินเอง ศิลปินเป็นบอยแบนด์ (Boy Band) รึเปล่า หน้าตาของศิลปินก็ถือว่าเป็นปัจจัยหลักเหมือนกัน ปัจจัยที่สำคัญถัดมาคือลักษณะของเพลงหรือแนวเพลง เช่น เป็นเพลง pop หรือ rock หรือ hip-hop ถามว่าปัจจัยตัวนี้สำคัญยังไง สำคัญตรงที่ว่าตลาดที่บริโภค (consume) แนวเพลงต่างๆ ย่อมมีขนาดตลาดที่ไม่เท่ากัน ซึ่งขนาดตลาดที่ใหญ่ที่สุดแน่นอนก็คือ ตลาดเพลงป๊อปนั่นเอง โดยเฉพาะ เอเชี่ยนป๊อบ (Asian pop) ผมอยากเรียกมันว่า เกาหลีป๊อปมากกว่า (Korean pop) เพราะเห็นไปก๊อปเขามาทั้ง รูปลักษณ์ (look) และทั้งดนตรี (sound) ก็คงปฏิเสธไม่ได้ว่ามันเป็นกระแสอยู่จริงๆ (เฮ้อ) แต่ทั้งหมดที่พูดมาก็ไม่สามารถกะรันตีได้ว่าจะเป็นไปตามที่คาดการณ์เอาไว้ ซึ่งถ้าโชคดีก็จะเกิดเหตุการณ์ที่เรียกว่า สินค้าขาดตลาด เช่น อัลบั้ม Be my guest ของค่าย ต่า ล้า ลา (สะกดถูกรึเปล่าไม่แน่ใจ) คุณกอล์ฟ (ไม่มีไมค์) เบญจพล หลังจากที่มีประสบการณ์จากอัลบั้มที่ผ่านมา ทำให้เขาไม่กล้าใส่ตัวเลขเข้าไปมาก เพราะกลัวจะเจ็บ (อีกครั้ง) แต่ผลกลับไม่เป็นไปอย่างที่คาดการณ์ไว้ กระแสของอัลบั้มนี้ดังขึ้น ส่วนหนึ่งมาจากการที่คุณกอล์ฟมีโอกาสได้ออกประชาสัมพันธ์อัลบั้มนี้ตามรายการทีวีต่างๆ และประกอบกับศิลปินที่เข้ามาร่วมแจมครั้งนี้มีอยู่หลากหลายและน่าสนใจมากมายทำให้เกิดเป็นกระแสได้อย่างดีทีเดียว ทำให้เกิดเหตุการณ์ที่เรียกว่าสินค้าขาดตลาด (ต้องขอแสดงความยินดีด้วยนะครับ) ต้องคอยจับตาดูอัลบั้ม Be my guest 2 ว่าผลจะออกมาเป็นอย่างไร แต่ใช่ว่าทุกคนจะโชคดีแบบนี้ ผมขอใช้คำว่าส่วนน้อยเลยดีกว่าที่จะโชคดีแบบนี้ เพราะส่วนใหญ่จะเจอเหตุการณ์ตรงกันข้ามครับ คือ แทนที่จะขายได้(อย่างน้อย)ตามที่คาดการณ์ไว้ กลับขายได้ไม่ถึงเป้า(มาก) ถามว่าทำไมจึงเป็นเช่นนั้น สำหรับผมๆขอแบ่งออกเป็น 2 ปัจจัยหลักด้วยกัน คือ คุณภาพของสินค้า และการตลาด

1) คุณภาพสินค้า ไม่ว่าจะเป็นตัวศิลปินเองหรือคุณภาพของเพลงที่ออกมา ถ้าตัวศิลปินเองนั้นไม่มีความน่าสนใจ หรือกระแสความดังของศิลปินนั้นๆลดลง ก็ย่อมส่งผลถึงยอดขายด้วยเช่นกัน ส่วนคุณภาพเพลงนี่คงไม่ต้องพูดถึงมาก ผมเชื่อเพื่อนๆคงเคยรู้สึกสะอิดสะเอียนกับนักร้องบางคนหรือบางกลุ่ม และนึกอยู่ในใจดังๆว่า “ออกมาได้ไงวะเนี่ย” ในกรณีนี้ผมไม่ขอยกตัวอย่างแล้วกัน (ไม่อยากไปตอกย้ำเขา)
2) การตลาด นี่เป็นอีกปัจจัยหลักที่มีผลอย่างมากกับยอดขาย ถ้าคิดว่าสินค้าออกมาดีแล้วนั้น สิ่งที่จำเป็นต่อมาก็คือการทำให้สินค้านั้นเป็นที่รู้จัก โดยเฉพาะผู้บริโภคกลุ่มเป้าหมาย เพราะถ้ากลุ่มนี้ไม่ได้ยินแล้วใครจะมาซื้อจริงมั้ย นอกจากการโปรโมทออกไปแล้วนั้น การสร้างภาพลักษณ์ (Image) ให้แก่ตัวสินค้าก็เป็นเรื่องสำคัญ การทำให้สินค้าดูดีเป็นที่หน้าเชื่อถือจะส่งผลกับยอดขายมิใช่น้อย สำหรับบริษัทที่มีการทำการตลาดที่ดี ส่งเสริมภาพลักษณ์ที่ดีให้แก่ตัวสินค้าผมขอยกให้แกรมมี่ครับ จะเห็นได้จากความดังของ กอล์ฟ ไมค์ ที่ดังจนฉุดไม่อยู่ จะเป็นเพราะว่ากระแสของเอเชี่ยนป๊อปมาแรงหรืออะไรก็แล้วแต่ แต่เขาก็ทำสำเร็จครับ ขอปรบมือให้ครับ

ซึ่ง 2 ข้อนี้จะต้องมีพร้อม ไม่ควรขาดข้อใดข้อหนึ่ง ต่อให้บริษัทนั้นมีสินค้าที่มีคุณภาพเพียงใด แต่ถ้าการตลาดอ่อนแอสินค้านั้นก็ย่อมไปไม่ถึงจุดหมายอย่างแน่นอน ที่ผ่านมามีอยู่ 2 อัลบั้มที่ผมเสียดายไม่หายจนถึงทุกวันนี้ หนึ่งคืออัลบั้ม All for men ส่วนอีกอัลบั้มหนึ่งคืออัลบั้ม Center point อัลบั้มทั้งสองนี้ล้วนเป็นของค่ายจากฝั่งลาดพร้าวทั้งนั้น ที่น่าแปลกก็คือเพลงในอัลบั้ม All for men แต่ละเพลงนั้น (ไม่ต่ำกว่าครึ่ง) เป็นเพลงที่ค่อนข้างติดหู เคยได้ยินเขาเปิดเพลงของ All for men ในผับ คนร้องตามกันได้หมด เพื่อนผมก็ร้องได้ แต่พอผมถามเพื่อนว่ารู้มั้ยว่าเป็นเพลงของใคร คำตอบที่ได้คือ “กูไม่รู้หว่ะ” เห็นมั้ยครับ เพลงที่มีคุณภาพแต่ขาดทางด้านการตลาดที่ดี แต่ในบางครั้งถ้าสินค้ามีความแข็งแกร่งมากๆ การตลาดอาจจะไม่จำเป็นต้องออกแรงมากก็ได้ เพราะมันจะเกิดกระแสขึ้นมาเองที่เรียกว่า ปากต่อปาก หรือ Word of mouth อัลบั้มตัวอย่างที่ไม่ยกมาพูดไม่ได้นั่นคือ อัลบั้มของ โต๋ นั่นเอง เพื่อนๆคงปฏิเสธไม่ได้ว่าอัลบั้มของน้องโต๋ หรือแม้แต่ตัวน้องโต๋เองตอนนี้เป็นกระแสอยู่จริงๆ สาวเล็กสาวใหญ่ต่างกรีดหนุ่มน้อยคนนี้ แถมตัวน้องเองมี profile ที่ดีมากจึงได้เป็น presenter ของสินค้าซุปไก่สกัดตรา แบรนด์ Brand อันที่จริง (โดยส่วนตัว) ผมคิดว่าที่น้องเขามาได้ขนาดนี้ส่วนหนึ่ง แน่นอนมาจากตัวน้องเอง แต่อีกส่วนหนึ่งที่สำคัญไม่น้อยนั่นก็คือ การออกอัลบั้มภายใต้สังกัด Bakery ซึ่งพอพูดถึง Bakery แน่นอนภาพที่ตามมาก็คือพี่บอยด์ ของเรานี่เอง พี่บอยด์ได้สร้างภาพลักษณ์ (Image)ที่ดีมากให้กับค่ายนี้ เอาไว้ผมจะกลับมาพูดเรื่องนี้กันอีกในครั้งต่อๆไปนะครับ แต่เพื่อนๆรู้ไหมครับสิ่งที่น่ากลัวยิ่งกว่านั่นก็คือ การมีสินค้าแย่ (โดยเจ้าตัวไม่รู้ว่าแย่) แต่มีการตลาดที่ดี เพราะจะเป็นการกระจายชื่อเสียได้อย่างรวดเร็วยิ่งขึ้น

เห็นแล้วใช่มั้ยครับ ความลำบากของชาวผู้จัดจำหน่าย ที่ต้องแบกรับค่าใช้จ่ายต่างๆนานา ทั้งต้นทุนการผลิต ต้นทุนการขนส่ง (logistics) กับมูลค่าสินค้าที่คืนกลับมา แถมทั้งยังต้องต่อกรกับพวกเทปผีซีดีเถื่อนอีก ดังนั้นบริษัทใหญ่ทั้งหลายต่างก็เริ่มรู้สึกตัวว่าสู้พวกพลังมืดนี้ไม่ได้จึงเริ่มที่จะหันมาให้บริการดาวน์โหลด Download เพลงกันเอง หรือที่เรียกว่า Digital Music ด้าน RS มี Mixiclub ส่วนทางด้าน GMM ก็ส่ง ikeyclub มารับมือ เพื่อเป็นการชดเชยรายได้ที่หายไปกับตลาดมืด แต่ในทางกลับกันมันก็ส่งผลไม่มากก็น้อยกับตลาด CD/VCD ผมเองได้มีโอกาสเข้ามาอยู่ในธุรกิจนี้ เคยไปแวะเยี่ยมเยียนร้านค้าต่างๆ เพื่อนๆรู้มั้ยครับผมเจอคำถามอะไร เจ้าของร้านมักจะถามผมว่า “เขาจะเลิกขาย CD/VCD แล้วหรอ” ผมถึงกับอึ้งไปเลยตอบไม่ถูกเหมือนกัน ได้แต่ตอบกลับไปว่า “ไม่ถึงขั้นนั้นหรอกพี่” แล้วยิ่งพักหลังนี้ผู้นำฝั่งลาดพร้าวได้ออกมาประกาศและเน้นย้ำว่าเขาจะไปทางดิจิตอล (Digital) เต็มตัว จะเป็น “Entertainment and sport content provider” ซึ่งจะเห็นได้จากการริเริ่มทำศิลปินไซเบอร์ชื่อ “DDZ” คำถามของผมก็คืออุตสาหกรรมเพลงในเมืองไทยพร้อมแล้วหรือที่จะยอมรับรายได้จากทางดิจิตอล (Digital music) เพียงอย่างเดียว โดยไม่สนใจรายได้จากฝั่ง CD/VCD (physical product) โดยส่วนตัวเองนี้ ผมยังเชื่อว่าธุรกิจ CD/VCD นี้ยังสามารถอยู่ได้ ถ้ามีการบริหารต้นทุนอย่างจริงจัง มีการกำหนดเป้าของแต่ละอัลบั้มอย่างถูกต้อง หรือให้ได้ใกล้เคียงกับยอดขายจริง ธุรกิจนี้ยังสามารถทำกำไรได้อย่างแน่นอนครับ และที่สำคัญผมเชื่อว่าคนเรายังคงฟัง CD และดู VCD กันอยู่เยอะครับ มาถึงตรงนี้เพื่อนๆมีความคิดเห็นยังไงมาแชร์กันได้เลยครับ ไม่ว่าเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยประการใด ยินดีรับฟังครับ

Comments

  1. ดีค่ะพี่
    แต่ยังไม่กล้าแสดงความเหนอ่ะ
    แต่จะเข้ามาอ่านเรื่อยๆนะคะ
    สู้ๆ
    :D

    ReplyDelete
  2. ได้ความรู้ดีค่ะพี่...
    ขออนุญาตไม่แสดงความเห็นเนื่องจากไม่สันทัด แต่จะเข้ามาอ่านบ่อยๆนะพี่นะ

    ปล. เขียนเยอะๆก็เป็น เขียนได้ดีอีกต่างหาก แต่ดันออกตัวกับน้องว่า เขียนไม่เก่ง มันยังไงกันค่ะพี่ มันยังไงกัน!?!

    ReplyDelete
  3. พูดอีกก็ถูกอีก..ความจริงไม่กล้า Comment หรอก (เด๋วรู้ว่าเป็นคราย!!)....แต่จริงอยู่ความคิดเห็นของคนเราไม่เหมือนกันค่ะ...เท่าที่ได้ยินมาเช่นกันว่าฝั่งลาดพร้าวจะเน้นไปทาง Digital มากขึ้นแต่ก็จริงของฝั่งลาดพร้าวเพราะความคิดเราเห็นว่า..เขาคงมองสถานการณ์ออกว่าถ้าให้ศิลปินออก CD ต่อไปจะเป็นอย่างไร..ซึ่งตรงนี้คุณภาพของศิลปิน + pr แล้ว..ถ้าเทียบกับค่ายอื่นด้อยกว่าเห็น ๆ(ไม่ได้มองว่าลาดพร้าวไม่ดีแต่มองหลักความจริงค่ะ)และถ้าจะผลิต cd วางจำหน่ายก็จะไม่ใช่เรื่องเนื่องจากอย่างที่รู้กันแผ่นผีมีเยอะ(เราจะทำทำไมในเมื่อเราไม่ได้กำไรแต่อาจจะมองว่าจะทำอย่างไรให้เราอยู่ได้)..ซึ่งจากนี้ไปตลาด cd /vcd จะเป็นอย่างไรก็ไม่อาจรู้ได้หรอกค่ะมันเป็นเรื่องของอนาคตแต่เห็นภาพบางอย่างว่ามันจะไม่ boom เหมือนเก่า...หรืออาจจะ boom แต่อาจจะเป็นจากค่ายอื่น ...เพราะที่เห็นกันจริง ๆ อัลบั้มที่มีคนซื้อจริง ๆ (วัดได้จากเสียงส่วนใหญ่ที่มีคนพูดถึง+ เพื่อน+ สื่อมวลชน + ตัวเอง) คุณภาพต้องดีมาก ๆ อย่างเช่นที่พี่ยกตัวอย่าง Be my guest Again..ยอมรับว่าเขาทำสำเร็จ...
    ***แล้วแบบนี้จะมี CD เพลงวางขายทำไมในเมื่อเขาทำ MP 3 แบบถูกลิขสิทธิ์ออกมาให้โหลด...อ่ะ...แล้วพี่คิดว่าตลาดเพลง CD ยังจะยืนอยู่ได้อีกหรอ..??..คำตอบคือได้แต่อาจจะน้อย..หรือไม่..??..
    ********************ไม่รู้สิ...*****
    จบ...ค่ะ...
    ไปและค่ะ..อาจจะเขียนยาวไปหน่อยก็คิดแบบที่เขียนผิดตรงไหน...ไว้จะแว๊บมาอ่านสิ่งดี ๆ ที่ได้ความรู้อีกนะค้า...

    ReplyDelete
  4. ก่อนอื่นผมขอขอบคุณทุกๆความคิดเห็นนะครับ เป็นปลื้มจริงๆมีคนมา comment ด้วย ไม่เสียแรงที่เลี้ยงขนม (ล้อเล่นครับ)

    เอาหล่ะเรามาคุยกันต่อจาก comment ของคุณ shisuka แล้วกันครับ ผมคงไม่สรุปว่าสินค้า(ศิลปิน)+PR ของฝั่งไหนด้อยกว่ากัน เพราะต่างฝ่ายต่างมีศิลปินที่ดีทั้งคู่ สำหรับที่บอกว่า "แล้วแบบนี้จะมี CD เพลงวางขายทำไมในเมื่อเขาทำ MP3 แบบถูกลิขสิทธิ์ออกมาให้โหลด" ถึงแม้การผลิต CD/VCD จะมีต้นทุนสูงอยู่ก็จริง แต่ในทางกลับกันมันก็มีมาร์จิ้นที่สูงตามไปด้วย คือขาย CD/VCD หลักหมื่น ต้องขาย download ไปเป็นหลักแสนหลักล้านโหลด แล้วเพื่อนๆคิดว่าพฤติกรรมของคนไทย (ที่มีนิสัยชอบของฟรี) จะยอม download เสียตังเหรอครับ คำตอบคือ มี แต่ยังเป็นส่วนน้อยมากครับ (น้อยจนน่าตกใจ)... เดี๋ยวผมเอาเรื่องนี้มาเขียนต่อเลยดีกว่า เรื่องเกี่ยวกับ พฤติกรรมของผู้บริโภคกับการ download เพลง (แบบถูกกฎหมาย) หวังว่าคงตามอ่านกันนะครับ

    ขอบคุณครับ

    ReplyDelete
  5. ขอแสดงความเห็นด้วยคนครับ

    ในส่วนของธุรกิจ CD/VCD เนี่ยผมว่ามันมองได้ทั้งเป็น Entertainment Product และTechnology Productครับ ซึ่งในส่วนของความเป็น Entertainment Product พวกเราทุกคนคงตอบได้ว่าคนเรายังฟังเพลงอยู่แน่นอนครับ (เช่นเดียวกับคนก็ยังดูหนัง ดูละคร หรือเสพสื่อEntertainmentอื่นๆ) ดังนั้นธุรกิจเพลงคงไม่มีวันตายแน่ครับ (ฟันธง) แต่ในแง่ความเป็น Technology Product ครับ ผมก็มี 2ตัวอย่างในแง่ของการเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยีครับ

    ตัวอย่างแรก คือ สมัยหนึ่งเมื่อมีวิทยุเกิดขึ้น ก็มีคนคาดการณ์ว่าหนังสือพิมพ์คงจะตกยุคในไม่ช้า ต่อมาเมื่อมีทีวีเกิดขึ้น ก็มีคนคาดว่าวิทยุ และโรงภาพยนตร์จะตกยุคในไม่ช้า พอมีคอมพิวเตอร์เกิดขึ้นก็ยังมีคนคาดว่าทีวีก็คงจะตกยุคในไม่ช้าเช่นกัน แต่ทุกวันนี้เป็นอย่างไรครับทั้ง หนังสือพิมพ์ วิทยุ โรงภาพยนตร์ โทรทัศน์ และคอมพิวเตอร์ ต่างก็ยังอยู่กันถ้วนหน้าทั้งนั้นครับ ถ้าเอาตัวอย่างนี้มาจับก็คงบอกได้ว่า CD/VCD ก็คงต้องมีที่อยู่ได้ด้วยตัวมันเองครับ แต่มันก็คงไม่ได้ฮือฮาเหมือนเมื่อก่อนครับ

    ส่วนตัวอย่างที่สองเดี๋ยวค่อยเขียนต่อตอนต่อไปนะครับ

    ขอบคุณ คุณNP ที่เปิดโอกาสให้แสดงความคิดเห็นครับ

    หมายเหตุ เป็นความเห็นส่วนตัวนะครับ ยินดีรับความคิดเห็นทั้งเห็นด้วยและไม่เห็นด้วยครับ

    ReplyDelete
  6. หึหึ
    อ่านขาดเช๊อะ
    คุณพี่ •ิ.•ั

    ReplyDelete
  7. ขอต่อเลยนะครับ

    ตัวอย่างที่สอง สมัยก่อนพฤติกรรมการฟังเพลงของคนคือไปฟังเอาตาม Pub หรือรอคอนเสิร์ตของศิลปิน ต่อมาเริ่มมี Physical product เริ่มต้นผมเข้าใจว่าเป็นแผ่นเสียงนะครับ ต่อมาเป็นเทป ต่อมาเป็นCD/VCD และก็เป็น MP3ในปัจจุบัน ซึ่งในกรณีนี้ปัจจุบันคนฟังเพลงคงไม่ฟังด้วยแผ่นเสียงแล้ว (ผมก็เกิดไม่ทันยุคแผ่นเสียงครับ) ส่วนเทปปัจจุบันยังมีคนฟังอยู่แต่ก็ไม่มากแล้ว ค่ายเพลงบางค่ายก็เลิกผลิตเทปแล้วครับ และบริษัทอย่าง Sony ผมก็เข้าใจว่าคงเลิกผลิต Walkman ที่เล่นเทปแล้วนะครับ (ไม่แน่ใจว่า Walkman ที่เล่น CD เขาเลิกผลิตหรือยัง)ซึ่งผมคิดว่าเทปก็คงจะตายในไม่ช้า (เช่นเดียวกับ VDO : ไม่ทราบว่ายังมีใครซื้อวีดีโอดูอยู่หรือเปล่าหวังว่าคงไม่มีครับ) ซึ่งก็เป็นไปได้ที่ CD/VCD ก็จะตายไปเช่นเดียวกับเทปครับ ถ้าเอาเรื่องนี้มาจับก็คงจะบอกได้ว่า CD/VCD ก็คงจะถึงวันลาจากในไม่ช้าครับ

    แล้วกันสองตัวอย่างเรื่องการเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยีผลลัพธ์กลับไม่เหมือนกัน ตกลง CD/VCD มันจะอยู่หรือจะไปเนี่ย

    คิดกันว่างไงบ้างครับเนี่ย

    ReplyDelete
  8. ตอนแรกที่อ่าน Comment แรกของคุณ KORN แล้วดิฉันเริ่มคล้อยตาม < ออกไปในแนวทางเห็นด้วย>แต่พอมาตัวอย่างที่สอง ทำไมมันกลับตรงกันข้ามคะ...แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าตัวอย่างที่สองจะผิดหรอกนะคะ...อาจจะเกิด หรือ ไม่เกิดขึ้นก็ได้...
    แล้วสรุปคุณ KORN...คิดว่าแบบไหนกันแน่คะ..

    ReplyDelete
  9. ว้าว ว้าว เป็นความคิดเห็นที่น่าสนใจมากครับ ที่จริงผมเห็นด้วยกับทั้งสองความคิดเห็นของคุณ korn นะครับ สำหรับผมแล้วตัวอย่างทั้ง 2 ของคุณ korn นี้ มันเกิดขึ้นแน่นอน แต่ต่างเวลากันเท่านั้นเอง ในอนาคตอันใกล้นี้ (อาจจะเป็น 1ปีถึง2ปีข้างหน้า)CD/VCD จะมีขนาด(scale)ของธุรกิจที่เล็กลง อาจจะถึงขั้นที่ว่าทางบริษัทฯ หรือ ค่ายมอง CD/VCD เป็นแค่เครื่องมือหนึ่งในการโปรโมทเพลงหรือตัวของศิลปินเท่านั้น ส่วนรายได้หลักน่าจะมาจากการโชว์ตัว และ เล่นคอนเสิร์ต (concert) แต่แน่นอนกลุ่มที่ยังฟังจาก CD/VCD ยังคงมีอยู่ แต่ก็จะเป็นกลุ่มคนที่รักที่จะสะสมเป็น Collection ซึ่งสินค้า (CD/VCD)เหล่านี้จะมีบรรจุภัณฑ์ (package)ที่สวย ดูมีคุณค่า ดูน่าเก็บ (แต่ผมไม่ได้บอกว่าควรลงทุนกับ packaging ให้ทุกอัลบั้มนะ ควรเลือกศิลปินด้วย) และยิ่งปัจจุบันผู้ผลิตเครื่องเสียง ไม่ว่าจะเป็นพวกติดรถหรือในบ้าน เริ่มออกแบบให้เล่นเพลง MP3 ได้แล้วด้วยนั้น ผมคิดว่า CD/VCD เริ่มถึงขั้นหาที่ยืนลำบากแล้วครับ จนสุดท้ายก็จะเป็นเหมือนพวกแผ่นเสียง วีดีโอเทป และเทปคลาสเซ็ต ซึ่งหายไปจากท้องตลาด

    ReplyDelete

Post a Comment