การที่ประเทศหนึ่งจะสามารถยึด เหรียญคริปโตของอีกประเทศหนึ่งได้อย่างไรบ้าง และมีวิธีไหนบ้าง
วิธีที่ รัฐหนึ่ง (หรือหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายของรัฐ) สามารถยึดหรือควบคุม Bitcoin (BTC) ของอีกประเทศหนึ่งได้ มีทั้งช่องทาง กฎหมาย/การทูต และ เชิงเทคนิค/ปฏิบัติการ — แต่ข้อสำคัญคือบางวิธีเป็นการดำเนินการทางกฎหมายและระหว่างประเทศ ขณะที่บางวิธีเป็นการละเมิดกฎหมาย (เช่น แฮ็ก การขโมยคีย์)
1) ช่องทางทางกฎหมาย / การทูต (วิธีมาตรฐาน & ถูกต้องตามกระบวนการ)
คำสั่งศาล / คำสั่งยึดทรัพย์ (asset forfeiture) — หากศาลในรัฐที่มีอำนาจพิสูจน์ว่า BTC เกี่ยวข้องกับความผิด รัฐนั้นสามารถออกคำสั่งให้ยึดหรือริบสินทรัพย์ดิจิทัลได้ และขอความร่วมมือระหว่างประเทศเพื่อบังคับใช้คำสั่งดังกล่าว. ตัวอย่างเช่นคดี Silk Road และการยึด BTC โดยกระทรวงยุติธรรมสหรัฐ
การบีบบังคับผ่านผู้ให้บริการศูนย์กลาง (custodians / centralized exchanges) — รัฐมักสั่งให้ exchange ที่มีผู้ใช้หรือตลาดอยู่ภายใต้เขตอำนาจยึดหรือระงับบัญชี (freeze/transfer) ตามหมายศาลหรือมาตรการทางปกครอง — เพราะเงินที่อยู่กับผู้ให้บริการรวมศูนย์นั้นเข้าถึงได้โดยการคุมบัญชีผู้ใช้
มาตรการคว่ำบาตร / การสั่งแช่แข็งทรัพย์สิน (sanctions / asset freeze) — รัฐ (เช่นสหรัฐาฯ ผ่าน OFAC) สามารถขึ้นบัญชีดำบุคคล/หน่วยงานและสั่งให้สถาบันการเงินหรือผู้ให้บริการคริปโตหยุดให้บริการกับที่อยู่/โหนดที่เกี่ยวข้อง ทำให้เข้าถึงหรือแลกเปลี่ยนสินทรัพย์ได้ยากขึ้น. ตัวอย่างการแช่แข็ง/คว่ำบาตรต่อแพลตฟอร์ม/บุคคลมีปรากฏบนรายงานข่าวและประกาศทางการ
ความร่วมมือระหว่างประเทศ (MLATs, 司法合作) — คำขอส่งผู้ร้ายข้ามแดน คำขอข้อมูล หรือความร่วมมือสอบสวนระหว่างหน่วยงานต่างประเทศ ช่วยให้ยึด/ระงับทรัพย์สินข้ามพรมแดนเป็นไปได้ (โดยเฉพาะเมื่อเงินถูกแปลงเป็นสกุล fiat ผ่านสถาบันการเงิน)
2) ช่องทางเชิงเทคนิค/ปฏิบัติการ (การได้มาซึ่งคีย์หรือการย้ายสินทรัพย์)
ได้มาซึ่งคีย์โดยการจับกุม / ตรวจค้นอุปกรณ์ — ถ้าผู้ครอบครองถูกจับหรืออุปกรณ์ (เช่นคอมพิวเตอร์, ฮาร์ดไดรฟ์, กระดาษคีย์) ถูกยึด หน่วยงานสามารถค้นหากุญแจส่วนตัว (private keys, seed phrases) และย้าย BTC ไปยังกระเป๋าของรัฐได้ — นี่เป็นช่องทางที่เกิดขึ้นจริงในการยึดทรัพย์. (แต่การค้นและการใช้คีย์ต้องเป็นไปตามข้อกฎหมาย/หมายศาลของรัฐนั้น)
ความร่วมมือจากผู้ให้บริการคริปโต (centralized custodians, stablecoin issuers, payment rails) — บางครั้งผู้ให้บริการบุคคลที่สาม (เช่น exchange, issuer ของ stablecoin หรือบริษัทบริการ) ถูกสั่งโดยหน่วยงานให้ “ย้าย/ระงับ” หรือ “ล็อก” สินทรัพย์ที่เกี่ยวข้อง เพราะผู้ให้บริการเหล่านี้มีจุดศูนย์กลางที่เข้าถึงได้. ตัวอย่างการบล็อก/ระงับกระเป๋าโดยผู้ให้บริการมีปรากฏในข่าวหลายคดี
การติดตามบนบล็อกเชน + ใช้บริษัทวิเคราะห์ (blockchain forensics) — บล็อกเชนสาธารณะทำให้ทราฟฟิกติดตามได้ — หน่วยงานใช้เครื่องมือวิเคราะห์ (เช่น Chainalysis, Elliptic) เพื่อตามรอยเงินที่ผ่าน mixer, bridge หรือ exchange และเชื่อมโยงไปยังเอกลักษณ์จริง (through KYC ที่ exchange) เพื่อยื่นคำขอทางกฎหมายต่อ exchange ที่เกี่ยวข้อง
3) วิธีที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายหรือการบุกรุก (ไม่ควรทำ/ผมจะไม่สอนวิธี)
แฮ็ก กระทำการทางไซเบอร์เพื่อขโมยคีย์หรือย้ายเงิน — แม้เป็นไปได้ทางเทคนิค แต่เป็นการกระทำผิดกฎหมายชัดเจน มีทั้งข้อกฎหมายระหว่างประเทศและความเสี่ยงการตอบโต้ทางการทหาร/ไซเบอร์ — ผมจะไม่ให้คำแนะนำหรือขั้นตอนเชิงปฏิบัติสำหรับการกระทำนี้
การคอร์รัปชัน บังคับ หรือข่มขู่บุคคลที่เก็บกุญแจ — เป็นการละเมิดกฎหมายและสิทธิมนุษยชน — ไม่เป็นทางการที่ชอบ. (มีกรณีข่าวของเจ้าหน้าที่ที่ยักยอกกุญแจจากของกลางด้วย)
4) ตัวอย่างเชิงปฏิบัติที่เกิดขึ้นจริง
Silk Road (DOJ) — รัฐบังคับใช้กฎหมายตามร่องรอยบล็อกเชนและเมื่อพบคีย์/ที่อยู่ที่เชื่อมโยงกับผู้ต้องหา ก็สามารถยึด BTC ได้ (ประกาศการยึดทรัพย์ครั้งใหญ่)
คดีฉาว ‘pig-butchering’ / การจับยึดครั้งใหญ่ (ข่าวล่าสุด) — มีรายงานว่ารัฐบาลสหรัฐ/หน่วยงานที่เกี่ยวข้องใช้การสืบสวนแบบข้ามชาติและมาตรการยึด/คว่ำบาตรเพื่อนำทรัพย์สินดิจิทัลออกจากเครือข่ายฉ้อฉล
5) ข้อจำกัดและปัจจัยที่ทำให้การยึดยากขึ้น
การจัดเก็บแบบ cold / multisig / air-gapped wallets — ถ้ากุญแจถูกเก็บแบบออฟไลน์ในรูปแบบที่หลายฝ่ายต้องลงชื่อร่วมกัน (multisig) หรือเก็บในฮาร์ดแวร์ที่ล็อก การยึดจะยากขึ้นหากรัฐไม่สามารถได้มาซึ่งกุญแจหรือร่วมมือกับผู้ถือกุญแจอื่นๆ
การใช้งานเครื่องมือความเป็นส่วนตัว (mixers, privacy coins, coinjoins) — ทำให้การตามรอยซับซ้อนขึ้น แต่หน่วยงานวิเคราะห์และมาตรการทางกฎหมายบางครั้งยังสามารถเชื่อมโยงเส้นทางได้ (และบางบริการถูกขึ้นบัญชีดำ)
การย้ายทรัพย์สินระหว่าง chain และ off-ramps อย่างรวดเร็ว — ถ้าผู้ทำผิดแปลงเป็นสินทรัพย์อื่นหรือย้ายไปยังพื้นที่ที่ผู้ให้บริการไม่ร่วมมือ ย่อมยากขึ้น
บทความที่เกี่ยวข้อง: Multisig (Multi-signature) คือะไร มาทำความรู้จักกัน
6) ทางเลือกที่ถูกกฎหมายและแนวปฏิบัติที่ปลอดภัย (สำหรับรัฐหรือผู้ถือสินทรัพย์ที่ต้องการปกป้องทรัพย์สิน)
สำหรับ รัฐ: ใช้ช่องทางกฎหมายระหว่างประเทศ, พัฒนาเทคโนโลยีวิเคราะห์บล็อกเชน, ทำข้อตกลงความร่วมมือกับผู้ให้บริการศูนย์กลาง และใช้มาตรการคว่ำบาตรเมื่อจำเป็น
สำหรับ ผู้ถือ BTC ที่ต้องการปกป้องทรัพย์สินถูกกฎหมาย: ปฏิบัติตามกฎหมายท้องถิ่น, ใช้การจัดการคีย์ที่ปลอดภัย (hardware wallet, multisig, cold storage), รักษาเอกสาร/seed phrases ให้ปลอดภัย และระมัดระวังการใช้บริการที่ไม่มี KYC หากต้องการความโปร่งใสทางกฎหมาย
Comments
Post a Comment