วะบิ-ซะบิ (WABI-SABI) ปรัชญาแห่งความไม่สมบูรณ์
ผมเคยได้ยินคำว่า วะบิ-ซะบิ มาบ้างนะ แว๊บแรกที่ได้ยิน นึกว่าเขาพูดอะไรเกี่ยวกับวาซาบิหรอ แต่พอฟังดีๆ อ่าาา ไม่ใช่แฮะ มันคือ วะบิ-ซะบิ แล้วก็ได้มาตั้งใจฟังอีกทีจากคลิปด้านล่างนี้ เป็นคลิปจากรายการ Shortcut ปรัชญา ของ The Standard Podcast ผมว่ามันเป็นปรัชญาที่น่าสนใจดีนะ
👇👇👇
วะบิ-ซะบิ (WABI-SABI) คืออะไร
วะบิ-ซะบิ (WABI-SABI) มีต้นกำเนิดจากปรัชญาเซนและวัฒนธรรมญี่ปุ่น โดยแนวคิดนี้พัฒนาขึ้นในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 14-16 ระหว่างยุคมูโรมาจิและยุคเอโดะ ซึ่งเป็นช่วงที่วัฒนธรรมของญี่ปุ่นได้รับอิทธิพลจากพุทธศาสนาแบบเซนอย่างมาก
ในยุคแรก ๆ คำว่า วาบิ และ ซาบิ มีความหมายในเชิงลบ กล่าวถึงความยากลำบาก ความเหงา และความเศร้า แต่เมื่อวัฒนธรรมและปรัชญาเซนเริ่มแทรกซึมในชีวิตประจำวัน แนวคิดวะบิ-ซะบิจึงค่อย ๆ พัฒนาเป็นการยอมรับในความเรียบง่ายและความไม่สมบูรณ์แบบ การใช้สิ่งของธรรมชาติ เช่น งานเซรามิก งานไม้ และผ้าแบบดั้งเดิมที่มีรอยแตกร้าวหรือการเปลี่ยนแปลงจากการใช้งาน ก็สะท้อนถึงแนวคิดนี้ได้เป็นอย่างดี
วะบิ-ซะบิจึงเกิดขึ้นจากการผสมผสานระหว่างปรัชญาเซนที่เน้นความสงบและการปล่อยวางกับวัฒนธรรมญี่ปุ่นที่ชื่นชมความงามที่ธรรมชาติสร้างขึ้น
ความหมายของคำว่า วะบิ และ ซาบิ
วะบิ (Wabi):
หมายถึงความเรียบง่ายและความสง่างามในความไม่สมบูรณ์แบบ
เชื่อมโยงกับการใช้ชีวิตอย่างถ่อมตนและการมองหาความสุขในความสงบของธรรมชาติ เช่น การใช้ถ้วยชาแบบดิบ ๆ ไม่ปรุงแต่ง
ซาบิ (Sabi):
หมายถึงความงดงามของสิ่งที่เปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา
ยกตัวอย่างเช่น สิ่งของที่มีรอยแตกร้าวหรือร่องรอยการใช้งาน ซึ่งบ่งบอกถึงประวัติศาสตร์และคุณค่าที่เพิ่มขึ้นตามอายุ
เมื่อผสมผสานกัน วะบิ-ซาบิจึงสื่อถึงการมองความงามที่อยู่ในความไม่สมบูรณ์และความเรียบง่ายตามธรรมชาติ
หลักการของวะบิ-ซาบิ
การยอมรับความไม่สมบูรณ์แบบ:
ชีวิตและสิ่งต่าง ๆ รอบตัวไม่ได้สมบูรณ์แบบ แต่กลับมีเสน่ห์ในแบบของมันเอง เช่น รอยแตกของเซรามิก หรือร่องรอยของการใช้งาน
การโอบกอดความไม่ถาวร:
สิ่งต่าง ๆ ในโลกนี้ล้วนเปลี่ยนแปลงตามกาลเวลา ไม่ว่าจะเป็นธรรมชาติ สิ่งของ หรือแม้แต่ชีวิต แนวคิดนี้สนับสนุนการปล่อยวางและยอมรับความไม่แน่นอน
ความเรียบง่าย:
วะบิ-ซาบิให้คุณค่ากับการลดสิ่งที่ไม่จำเป็นและให้ความสำคัญกับสิ่งที่สำคัญอย่างแท้จริง
ตัวอย่างการนำวะบิ-ซาบิไปใช้ในชีวิตประจำวัน
การออกแบบและตกแต่งบ้าน:
ใช้ของตกแต่งที่ทำจากวัสดุธรรมชาติ เช่น ไม้ หิน หรือเซรามิก และยอมรับร่องรอยของความเก่า เช่น การใช้เฟอร์นิเจอร์เก่าหรือของทำมือ
การชื่นชมธรรมชาติ:
เดินชมธรรมชาติ สังเกตใบไม้ร่วง ดอกไม้แห้ง หรือการเปลี่ยนสีของฤดูกาล
ศิลปะและงานฝีมือ:
คินสึงิ (Kintsugi) เป็นตัวอย่างที่ดีของวะบิ-ซาบิ โดยการซ่อมแซมเซรามิกที่แตกหักด้วยทองคำ ทำให้รอยแตกกลายเป็นส่วนหนึ่งของความงาม
การใช้ชีวิตอย่างมีสติ:
อยู่กับปัจจุบันและชื่นชมสิ่งที่มีอยู่ โดยไม่พยายามวิ่งหาความสมบูรณ์แบบ
เราจะเริ่มฝึกตามแนวคิด วะบิ-ซะบิได้อย่างไร?
การเริ่มฝึกแนวคิดวะบิ-ซะบิในชีวิตประจำวันสามารถเริ่มได้จากการปรับมุมมองและการเปิดใจรับความไม่สมบูรณ์รอบตัว ลองทำตามขั้นตอนต่อไปนี้เพื่อฝึกให้คุ้นเคยกับแนวคิดนี้
ฝึกมองหาความงามในสิ่งที่ไม่สมบูรณ์: พยายามมองหาความงามในสิ่งที่ธรรมชาติสร้างขึ้นเอง หรือแม้แต่สิ่งของที่ผ่านการใช้งานมานาน ไม่ว่าจะเป็นต้นไม้เก่า ๆ สิ่งของที่มีรอยถลอกหรือแตกหัก และลองสัมผัสถึงความงามในสิ่งเหล่านั้น
ลดทอนสิ่งที่ไม่จำเป็น: แนวคิดวะบิ-ซะบิเกี่ยวข้องกับความเรียบง่าย ดังนั้นการเริ่มปล่อยวางสิ่งของที่ไม่จำเป็นหรือไม่ใช้ประโยชน์ จะช่วยให้เราใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายขึ้น เหลือไว้เฉพาะสิ่งที่มีคุณค่าทางใจและสามารถสร้างประสบการณ์ใหม่ ๆ ได้
ปล่อยวางความสมบูรณ์แบบ: ฝึกมองเห็นความงามในความผิดพลาดหรือสิ่งที่ไม่สมบูรณ์ เช่น ในงานศิลปะที่เราทำเอง หรือแม้แต่ในชีวิตประจำวัน เมื่อเราปล่อยวางความคาดหวังในความสมบูรณ์แบบ เราจะพบว่าความงามนั้นซ่อนอยู่ในทุกรายละเอียดเล็ก ๆ
ฝึกทำสมาธิและอยู่กับปัจจุบัน: แนวคิดวะบิ-ซะบิสะท้อนความสงบและความเรียบง่าย การฝึกสมาธิและอยู่กับปัจจุบันช่วยให้เราสังเกตความเปลี่ยนแปลงและยอมรับสิ่งที่เป็นอยู่โดยไม่ยึดติด
ดูแลและซ่อมแซมสิ่งของแทนการทิ้ง: เมื่อของใช้เก่าหรือเสียหาย ลองซ่อมแซมแทนการซื้อใหม่ เช่น ศิลปะ คินสึงิ (Kintsugi) ซึ่งเป็นการซ่อมแซมเซรามิกด้วยการแต้มรอยแตกด้วยทอง การดูแลและรักษาสิ่งของเช่นนี้จะช่วยให้เราเห็นคุณค่าในสิ่งของแม้จะผ่านการใช้งาน
การฝึกวะบิ-ซะบิไม่ได้มีสูตรตายตัว แต่อยู่ที่การเปิดใจและฝึกฝนให้ตัวเองค่อย ๆ รับรู้และยอมรับความไม่สมบูรณ์ในทุกด้านของชีวิต
Comments
Post a Comment