ความเสี่ยงของประกันสังคม เมื่อเรากำลังเข้าสู่สังคมสูงวัย
ประเทศไทยกำลังเข้าสู่ สังคมสูงวัยระดับสุดยอด (Super-Aged Society) โดยประชากรที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไปจะเกิน 20% ของประชากรทั้งหมดในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า ซึ่งการเปลี่ยนแปลงนี้สร้างความท้าทายสำคัญต่อระบบประกันสังคม เนื่องจากโครงสร้างประชากรที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วส่งผลต่อรายรับและรายจ่ายของกองทุน รวมถึงเสถียรภาพในระยะยาว
1. ความเชื่อมโยงระหว่างสังคมสูงวัยและประกันสังคม
ระบบประกันสังคมในประเทศไทยครอบคลุมทั้งด้าน สุขภาพ และ รายได้หลังเกษียณ โดยมีหลักการที่ขึ้นอยู่กับแรงงานในปัจจุบัน (คนวัยทำงาน) เพื่อรองรับค่าใช้จ่ายสำหรับคนในวัยเกษียณหรือผู้สูงอายุในระบบ
- เมื่อประชากรวัยทำงานลดลง รายรับระบบจะลดลง
- ขณะเดียวกัน ผู้สูงอายุที่ต้องการเงินบำนาญและบริการสุขภาพเพิ่มขึ้น ทำให้ระบบแบกรับภาระที่มากเกินไป
2. ผลกระทบเชิงลึก
2.1 ด้านรายได้ของระบบประกันสังคม
รายได้จากเงินสมทบลดลง
- อัตราส่วนแรงงานที่จ่ายเงินสมทบต่อผู้สูงอายุในระบบลดลง เช่น หากในปี 2020 มีแรงงาน 5 คนรองรับผู้สูงอายุ 1 คน ในปี 2050 อัตราส่วนอาจลดลงเหลือ 2 ต่อ 1
ขาดรายได้จากภาษีอากร:
- คนวัยทำงานลดลงส่งผลให้รัฐบาลเก็บภาษีเงินได้และภาษีการบริโภคน้อยลง เช่น VAT ซึ่งเป็นรายได้สำคัญในการสนับสนุนระบบ (อาจจะเป็นเหตุผลที่รัฐบาลต้องการจะปรับ VAT ก็เป็นได้)
บทความที่เกี่ยวข้อง: จะเกิดอะไรขึ้นหากประเทศมีการปรับ VAT หรือ ภาษีมูลค่าเพิ่ม
2.2 ด้านค่าใช้จ่ายของระบบประกันสังคม
1. ค่าใช้จ่ายเงินบำนาญ (Old-Age Pension)
- ผู้สูงอายุในระบบที่มีสิทธิขอรับบำนาญจะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในปี 2023 มีผู้รับบำนาญราว 1.2 ล้านคน แต่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นถึง 3 ล้านคนในปี 2040
2. ค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพ
- ผู้สูงอายุใช้บริการทางการแพทย์มากกว่ากลุ่มวัยทำงาน เช่น การรักษาโรคเรื้อรัง (เบาหวาน ความดันโลหิตสูง) และการดูแลระยะยาว
- รู้หรือไม่: ค่าใช้จ่ายต่อหัวของผู้สูงอายุในระบบอาจสูงกว่าค่าใช้จ่ายของคนวัยทำงานถึง 3 เท่า
3. ความต้องการการดูแลระยะยาว (Long-Term Care)
- ค่าใช้จ่ายสำหรับสถานดูแลผู้สูงอายุและเจ้าหน้าที่ดูแลส่วนบุคคลเพิ่มขึ้น
3. ผลกระทบเชิงระบบ
3.1 เสถียรภาพทางการเงินของกองทุนประกันสังคม
ความเสี่ยงของการขาดดุลในระยะยาว
- หากไม่มีการปรับเปลี่ยน นโยบายกองทุนอาจล้มละลาย เช่น ในปัจจุบัน กองทุนประกันสังคมของไทยอาจเริ่มมีปัญหาด้านสภาพคล่องภายในอนาคต
การพึ่งพางบประมาณรัฐ
- การขาดดุลในระบบอาจทำให้ต้องใช้งบประมาณแผ่นดินมากขึ้น ซึ่งอาจเบียดบังงบอื่น เช่น การพัฒนาสาธารณูปโภค
3.2 ผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจโดยรวม
กำลังแรงงานลดลง
- การลดลงของแรงงานทำให้การผลิตสินค้าและบริการลดลง
- ตัวอย่างเช่น GDP ของประเทศอาจเติบโตช้าลงหากไม่สามารถเพิ่มผลิตภาพของแรงงานได้
อัตราภาษีที่เพิ่มขึ้น
- แรงงานรุ่นใหม่ต้องแบกรับภาระภาษีที่สูงขึ้นเพื่อชดเชยการขาดดุลของระบบ
4. ข้อเสนอแนะแนวทางแก้ไข
4.1 การเพิ่มรายได้ของกองทุน
เพิ่มอัตราเงินสมทบ
- ปัจจุบันเงินสมทบในประเทศไทยกำหนดไว้ที่ 5% ของเงินเดือน ควรพิจารณาขยายเพดานหรือเพิ่มอัตราเงินสมทบ
การลงทุนของกองทุน
- เพิ่มผลตอบแทนจากการลงทุน เช่น ในสินทรัพย์ที่มีความมั่นคงและให้ผลตอบแทนระยะยาว
4.2 การลดรายจ่ายของกองทุน
- ปรับอายุเกษียณ ขยายอายุเกษียณจาก 55 ปี เป็น 60-65 ปี เพื่อเพิ่มแรงงานในระบบ
- ปรับเกณฑ์การจ่ายเงินบำนาญ เช่น การจ่ายเงินตามช่วงอายุที่ยืดหยุ่น (Deferred Pension)
4.3 การสนับสนุนแรงงาน
- ส่งเสริมการจ้างงานผู้สูงอายุ โดยลดหย่อนภาษีหรือให้สิทธิพิเศษกับนายจ้างที่จ้างงานผู้สูงอายุ
- เพิ่มแรงงานต่างชาติ เปิดโอกาสให้แรงงานต่างชาติเข้ามาในระบบเพื่อทดแทนแรงงานที่ขาด
4.4 การสนับสนุนสุขภาพผู้สูงอายุ
- พัฒนาระบบดูแลผู้สูงอายุในชุมชน เช่น การสร้างศูนย์ดูแลในชุมชนเพื่อลดค่าใช้จ่ายของระบบโรงพยาบาล
- ป้องกันโรคและส่งเสริมสุขภาพ เช่น โครงการตรวจสุขภาพและส่งเสริมการออกกำลังกาย
ตัวอย่างจากต่างประเทศ
- ญี่ปุ่น: เพิ่มอายุเกษียณเป็น 65 ปี และส่งเสริมให้ผู้สูงอายุทำงานพาร์ทไทม์
- สวีเดน: ใช้ระบบบำนาญแบบ "Notional Defined Contribution (NDC)" ที่ยืดหยุ่นตามอายุและการสมทบ
- เยอรมนี: อนุญาตแรงงานต่างชาติเข้าทำงานเพื่อเสริมแรงงานในระบบ
การเข้าสู่สังคมสูงวัยสร้างความท้าทายต่อระบบประกันสังคม โดยเฉพาะด้านความสมดุลทางการเงิน การแก้ไขจำเป็นต้องอาศัยการเปลี่ยนแปลงเชิงนโยบาย เช่น การเพิ่มอัตราเงินสมทบ ปรับอายุเกษียณ และส่งเสริมการจ้างงานผู้สูงอายุ รวมถึงการลงทุนในระบบสุขภาพอย่างยั่งยืนเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงในอนาคต
====ช่องทางติดตาม====
Facebook: https://www.facebook.com/NPmeStoryPage
Blockdit: https://www.blockdit.com/npmestory
Line OA: @npmestory
Comments
Post a Comment