ลงทุนหุ้นต่างประเทศ คริปโต ค่าเงิน ทอง โอนเงินกลับไทย ต้องเสียภาษีอะไรบ้าง?


ทุกวันนี้ คนไทยจำนวนมากเริ่มลงทุน “นอกประเทศ”

ไม่ว่าจะเป็นหุ้นสหรัฐฯ, ETF, คริปโต, ค่าเงิน หรือทองคำในตลาดโลก


แต่สิ่งที่หลายคนยังงง (และกังวล) คือคำถามนี้


 “ถ้าลงทุนได้กำไร แล้วโอนเงินกลับไทย เราต้องเสียภาษีไหม?”


เดี๋ยวผมจะพาไล่เรียงให้เข้าใจแบบคนธรรมดาไม่ใช้ภาษากฎหมายยากๆ​ ​พร้อมตัวอย่างคำนวณจริง และแนวคิดวางแผนภาษีที่ “ถูกต้อง ไม่เสี่ยง”


หลักใหญ่ใจความของภาษีเงินลงทุนจากต่างประเทศ (ต้องรู้ก่อน)

กฎหมายภาษีไทยใช้หลักง่าย ๆ แต่สำคัญมาก คือ


 **เงินได้จากต่างประเทศ

 ถ้ามีการ “นำเงินเข้ามาในประเทศไทย”

 ถือเป็นเงินได้พึงประเมิน และต้องเสียภาษี**


ดังนั้น ประเด็นสำคัญจริง ๆ ไม่ใช่

  • ลงทุนอะไร
  • ใช้โบรกอะไร

แต่คือ

👉 “คุณโอนเงินกลับไทยเมื่อไหร่ และโอนเท่าไหร่”


ลงทุนแต่ละประเภท เสียภาษียังไงบ้าง

หุ้นต่างประเทศ (US Stocks / ETF / Global Stocks)

รายได้ที่เข้าข่ายภาษี ได้แก่

  • กำไรจากการขายหุ้น
  • เงินปันผลจากหุ้นต่างประเทศ

หลักการคือ

  • ขาดทุน → ไม่ต้องเสียภาษี
  • มีกำไร แต่ยังไม่โอนเงินเข้าไทย → ยังไม่ต้องเสีย
  • มีกำไร และโอนเงินเข้าไทย → ต้องเสียภาษี


อัตราภาษี

  • นำไปรวมกับรายได้อื่นในปีนั้น
  • ใช้อัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา 5% – 35%


คริปโตเคอร์เรนซี (Crypto)

คริปโตไม่ใช่เรื่องลึกลับทางภาษีอย่างที่หลายคนคิดห ลักการเหมือนกันเลย

เงินได้จากคริปโต เช่น

  • กำไรจากการขายเหรียญ
  • กำไรจากการแลกเหรียญ
  • รายได้จาก staking / mining / airdrop


จุดสำคัญ

  • สามารถหัก “ต้นทุน” ได้
  • ปัจจุบัน ไม่มีภาษีหัก ณ ที่จ่าย 15% แล้ว


สรุปสั้น ๆ

กำไร + โอนเข้าไทย = เสียภาษี


ค่าเงิน (Forex) และทองคำในตลาดต่างประเทศ

ไม่ว่าจะเทรดค่าเงิน หรือทองคำในตลาดต่างประเทศ

ถ้ามีกำไรและโอนเงินเข้าไทย


👉 ถือเป็นเงินได้เหมือนกัน

👉 ใช้อัตราภาษี 5% – 35%


ตัวอย่างคำนวณภาษีจริง (ดูแล้วจะเข้าใจทันที)

กรณีที่ 1 : มีรายได้จากงานประจำ

สมมติว่า

  • เงินเดือนทั้งปี 600,000 บาท
  • กำไรจากหุ้นต่างประเทศ + คริปโต 300,000 บาท
  • โอนเงินกลับไทยในปีเดียวกัน


รายได้รวมทั้งปี

600,000 + 300,000 = 900,000 บาท


หลังหักค่าลดหย่อนพื้นฐาน

ฐานภาษีสุทธิประมาณ 700,000 บาท

อัตราภาษีเฉลี่ยประมาณ 15%

👉 ภาษีจากเงินลงทุน ≈ 45,000 บาท


บทเรียนสำคัญ

  • คนมีเงินเดือนอยู่แล้ว
  • เงินลงทุนจะถูก “ดัน” ไปเสียในขั้นภาษีที่สูงขึ้น


กรณีที่ 2 : รายได้ไม่ประจำ / ไม่มีงานประจำ

สมมติว่า

  • ไม่มีเงินเดือน
  • มีกำไรจากการลงทุน 300,000 บาท
  • โอนเงินเข้าไทยทั้งหมด


หักค่าลดหย่อนส่วนตัว 60,000 บาท

เหลือฐานภาษีประมาณ 240,000 บาท


👉 เสียภาษีประมาณ 5%

👉 ภาษีที่ต้องจ่าย ≈ 12,000 บาท


นี่คือเหตุผลที่ว่า

“คนรายได้ไม่ประจำ ถ้าวางแผนดี

จะได้เปรียบด้านภาษีมาก”


โอนเงินกลับไทยยังไง ให้เสียภาษีน้อยที่สุด (แบบถูกกฎหมาย)

1️⃣ เลือกโอนในปีที่รายได้ในไทยต่ำ

เช่น

  • ปีที่ตกงาน
  • ปีรายได้ลด
  • ปีที่ทำงานอิสระ รายได้ไม่สม่ำเสมอ


ฐานภาษีต่ำ = อัตราภาษีต่ำ

เรื่องนี้เรียบง่าย แต่คนมักมองข้าม


2️⃣ อย่าโอนก้อนใหญ่ในปีเดียว

ถ้าไม่จำเป็นการแบ่งโอนหลายปี​ ช่วยลดการ “กระโดดขั้นภาษี” ได้ชัดเจนมาก

ภาษีรวมทั้งชีวิต อาจต่างกันเป็นหลักแสน


3️⃣ ถ้ายังไม่จำเป็นต้องใช้เงิน อย่าเพิ่งโอน

เงินที่ยังอยู่ต่างประเทศ = ยังไม่เกิดภาระภาษี

เหมาะกับคนที่ลงทุนระยะกลาง–ยาว​ และต้องการให้เงินทำงานต่อ


4️⃣ แยกเงินต้น กับกำไรให้ชัด

เก็บเอกสารให้ครบ เช่น

  • Statement จากโบรกเกอร์
  • ประวัติการซื้อขาย
  • ข้อมูลกระเป๋าคริปโต

เพราะถ้าหลักฐานไม่ชัด​ สรรพากรอาจประเมินว่า

👉 “เงินทั้งก้อนคือกำไร”


5️⃣ ใช้สิทธิลดหย่อนให้ครบ

กองทุน ประกัน ค่าลดหย่อนครอบครัว​ ช่วยดึงเงินลงทุน​ ให้ไปเสียในขั้นภาษีที่ต่ำลงได้จริง


สรุป

ไม่ว่าคุณจะลงทุน​ หุ้นต่างประเทศ คริปโต ค่าเงิน หรือทองคำ​ กติกามีแค่ข้อเดียวที่ต้องจำให้ขึ้นใจ

ยังไม่โอน → ยังไม่เสีย

โอนเมื่อไหร่ → เสียเมื่อนั้น


ภาษีไม่ใช่เรื่องน่ากลัว​ ถ้าคุณเข้าใจมัน และวางแผนเป็น

ภาษีไม่ใช่เรื่องของคนรวยเท่านั้น​ แต่คือ “ทักษะการเอาตัวรอดทางการเงิน”

ที่คนอายุ 40+ ควรรู้ไว้ใช้ได้จริง

Comments