Stagflation กับ Recession ต่างกันอย่างไร?
Stagflation และ Recession เป็นภาวะเศรษฐกิจที่แตกต่างกัน แม้ว่าทั้งสองจะส่งผลเสียต่อเศรษฐกิจโดยรวมเหมือนกัน
Stagflation คืออะไร?
Stagflation เป็นศัพท์ทางเศรษฐศาสตร์ที่เกิดจากการรวมคำว่า "Stagnation" (ภาวะเศรษฐกิจซบเซา) กับ "Inflation" (เงินเฟ้อ) หมายถึง ภาวะที่เศรษฐกิจเติบโตช้า แต่เงินเฟ้อกลับสูงขึ้น พร้อมกับอัตราการว่างงานที่สูง ซึ่งถือเป็นสถานการณ์ที่ยากต่อการจัดการทางเศรษฐกิจ
ลักษณะสำคัญของ Stagflation
- เศรษฐกิจซบเซา – อัตราการเติบโตของ GDP ต่ำหรืออาจติดลบ
- เงินเฟ้อสูง – ราคาสินค้าและค่าครองชีพเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
- อัตราการว่างงานสูง – คนตกงานจำนวนมากเพราะธุรกิจไม่ขยายตัว
ตัวอย่างของ Stagflation ในอดีต
ช่วงทศวรรษที่ 1970: สหรัฐฯ เผชิญ Stagflation ครั้งใหญ่เนื่องจากวิกฤตราคาน้ำมันที่พุ่งสูง ทำให้ต้นทุนการผลิตเพิ่มขึ้น ขณะเดียวกันเศรษฐกิจกลับไม่เติบโต
สาเหตุหลักของ Stagflation
- ช็อกด้านอุปทาน (Supply Shock) เช่น ราคาน้ำมันพุ่งสูง ทำให้ต้นทุนการผลิตเพิ่มขึ้น
- นโยบายการเงินผิดพลาด เช่น การพิมพ์เงินมากเกินไป ทำให้เงินเฟ้อสูงโดยไม่มีการเติบโตทางเศรษฐกิจที่เพียงพอ
- ความไม่มีประสิทธิภาพในการผลิต ทำให้เศรษฐกิจขยายตัวได้ยาก
Recession (ภาวะเศรษฐกิจถดถอย) คืออะไร?
Recession (ภาวะเศรษฐกิจถดถอย) หมายถึง ภาวะที่เศรษฐกิจหดตัวต่อเนื่องอย่างน้อย 2 ไตรมาสติดต่อกัน โดยดูจาก GDP (ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ) ที่ลดลง นอกจากนี้ยังมักมาพร้อมกับอัตราว่างงานที่สูงขึ้น การใช้จ่ายของผู้บริโภคลดลง และความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจที่ถดถอย
ลักษณะสำคัญของ Recession (ภาวะเศรษฐกิจถดถอย)
- การเติบโตทางเศรษฐกิจลดลงอย่างมีนัยสำคัญ
- ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ลดลงติดต่อกัน 2 ไตรมาสหรือมากกว่า
- อัตราการว่างงานเพิ่มขึ้น
- การใช้จ่ายของผู้บริโภคและการลงทุนของธุรกิจลดลง
ตัวอย่างของ Recession ในอดีต
วิกฤติการเงินปี 2008 (Global Financial Crisis)
เกิดจาก: ธนาคารในสหรัฐฯ ปล่อยสินเชื่อบ้านให้กับคนที่มีความสามารถในการชำระหนี้ต่ำ (Subprime Mortgage) เมื่อราคาบ้านตกลง คนไม่สามารถผ่อนชำระได้ ทำให้ธนาคารขาดทุนและล้มละลาย ส่งผลกระทบเป็นลูกโซ่ไปทั่วโลก
ผลกระทบ:
- ตลาดหุ้นทั่วโลกล่มสลาย
- อัตราการว่างงานในสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นสูงถึง 10%
- GDP ของหลายประเทศหดตัว
สาเหตุหลักของ Recession
1. อุปสงค์ลดลง (Demand Shock)
คนใช้จ่ายน้อยลง ทำให้ธุรกิจขายของได้น้อยลง ส่งผลให้บริษัทลดการจ้างงาน เช่น ในช่วงโควิด-19 คนออกจากบ้านน้อยลง ร้านค้าและภาคบริการได้รับผลกระทบหนัก
2. ปัญหาทางการเงิน
วิกฤติหนี้สิน หรือการล้มละลายของสถาบันการเงิน อาจทำให้เศรษฐกิจชะลอตัว เช่น วิกฤติแฮมเบอร์เกอร์ปี 2008 (วิกฤติซับไพรม์)
3. ภาวะฟองสบู่แตก
เมื่อราคาสินทรัพย์ เช่น หุ้น หรืออสังหาริมทรัพย์ พุ่งสูงเกินจริง แล้วเกิดการแตกตัว ทำให้เศรษฐกิจล้มเหลว เช่น ฟองสบู่ดอทคอม (Dot-Com Bubble) ในช่วงต้นปี 2000
4. ปัจจัยภายนอก (External Shock)
สงคราม ราคาน้ำมันพุ่งสูง หรือโรคระบาด อาจทำให้เศรษฐกิจชะลอตัว เช่น วิกฤติราคาน้ำมันปี 1973 ที่ทำให้เกิด Stagflation ตามมา
ความแตกต่างที่สำคัญ:
- Recession เน้นที่การลดลงของกิจกรรมทางเศรษฐกิจ ในขณะที่ Stagflation เน้นที่การเกิดขึ้นพร้อมกันของเศรษฐกิจชะลอตัวและเงินเฟ้อสูง
- Recession มักเกิดจากปัญหาด้านอุปสงค์ ในขณะที่ Stagflation มักเกิดจากปัญหาด้านอุปทาน
- Stagflation เป็นปัญหาที่ซับซ้อนและแก้ไขได้ยากกว่าภาวะRecession
โดยสรุปคือ Recession คือภาวะเศรษฐกิจที่กำลังหดตัวลง แต่ Stagflation คือภาวะเศรษฐกิจที่หยุดชะงักพร้อมๆกับภาวะเงินเฟ้อสูง
แล้วอะไรอันตรายกว่ากัน?
- Stagflation อันตรายกว่าเพราะเป็นภาวะที่แก้ไขยาก การขึ้นดอกเบี้ยเพื่อคุมเงินเฟ้ออาจทำให้เศรษฐกิจหดตัวหนักขึ้น
- Recession เป็นภาวะปกติที่เกิดขึ้นเป็นช่วงๆ และมักแก้ไขได้ง่ายกว่าด้วยมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ
ถ้าต้องเลือกหนึ่งภาวะมาเจอ Recession ยังจัดการง่ายกว่า Stagflation เพราะนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจช่วยให้เศรษฐกิจฟื้นตัวได้ แต่ถ้าเป็น Stagflation แก้ผิดทางอาจทำให้เศรษฐกิจพังหนักขึ้น
====ช่องทางติดตาม====
Facebook: https://www.facebook.com/NPmeStoryPage
Blockdit: https://www.blockdit.com/npmestory
Line OA: @npmestory
Comments
Post a Comment