ปรับแนวคิดทางการเงินเพื่อไปสู่เป้าหมายในชีวิต



ถ้าพูดถึงแนวคิดทางการเงินว่าอะไรคือ ทรัพย์สิน อะไรคือหนี้สิน อะไรคือ active income อะไรคือ passive income ผมเองยึดแนวคิดของ โรเบิร์ต คิโยซากิ เป็นแบบอย่างครับ เขาเป็นเจ้าของหนังสือขายดีอย่าง Rich dad Poor dad ที่ทำให้คนได้รู้จักคำว่า Passive income จนกลายเป็นคำพูดยอดฮิตจนถึงทุกวันนี้ เอาหล่ะมาดูกันดีกว่าว่าแนวคิดเขาเป็นยังไง



รายได้จากเงินเดือน (Income) ที่เราได้รับกันอยู่ทุกวันนี้ แน่นอนมันคือ Active income ที่คุณหยุดทำงานเมื่อไหร่ รายได้คุณก็จะหายไปในทันที ชีวิตมันโหดร้ายอย่างนี้แหล่ะครับ พูดง่ายๆคือ Active income นั้นคือรายได้ที่คุณต้องลงมือทำเพื่อแลกมา เมื่อคุณหยุดทำงาน เงินก็หยุดไปด้วย

รายจ่าย (Expenses) ก็คือสิ่งที่เราใข้จ่ายออกไป เช่น ค่ารถ ค่าน้ำมัน ค่าภาษี เป็นต้น

สินทรัพย์ (Assets) ตามนิยามของ โรเบิร์ต นั้น คือ สิ่งที่สามารถสร้างเงินให้เราได้แม้ว่าเราไม่ได้ลงมือทำงาน ให้ลองนึกถึงรายได้จากการให้เช่าห้องพัก หรือรายได้ปันผลจากการลงทุนในหุ้น เป็นต้น รายได้เหล่านั้นต่อให้เราไม่ต้องทำงานอะไร หรือที่เขาเรียกกัน 'ให้เงินทำงานแทน' นั่นเอง

หนี้สิน (Liabilities) จากนิยามคือ สิ่งทำให้เงินคุณออกจากกระเป๋าไปเรื่อยๆ ให้ลองนึกถึงเวลาที่เราซื้อรถมาหนึ่งคัน หากเราไม่ได้จ่ายเงินทีเดียวหมด แน่นอนว่าเราจะต้องกู้เงินเพื่อที่จะจ่ายค่ารถออกไปก่อน แล้วเราก็ค่อยผ่อนจ่ายไปเรื่อยๆทีละเดือนจนกว่าจะหมดหนี้สินกันไป นั่นแหล่ะครับที่เรียกว่า หนี้สิน หรือ Liabilities นั่นเอง ซึ่งในส่วนนี้เองที่เป็นจุดต่างจากสิ่งที่เราได้เคยเล่าเรียนกันมา เพราะเรามักจะถูกสอนว่า รถ หรือ บ้าน คือทรัพย์สิน แต่ในมุมมองของ โรเบิร์ต นั้น รถหรือบ้านที่เรานำมาใช้เองหรืออยู่อาศัยเองนั้น เราถือว่าเป็นหนี้สิน เพราะเรายังต้องจ่ายเงินออกไปเรื่อยๆ แต่หากว่ารถคันนั้นเราเอามาให้คนเช่าวิ่งรถต่อ รถคันนั้นจะกลายเป็นทรัพย์สิน บ้านเองก็เช่นกัน หากเราอยู่เอง เราก็ยังต้องจ่ายที่เราได้กู้ยืมมา หรือต่อให้เราผ่อนหมดแล้วก็ตาม เราก็ยังคงต้องเสียเงินค่าดูแล ค่าน้ำค่าไฟ นั่นหมายถึงบ้านหลังนี้ก็ยังคงเป็นหนี้สิน แต่หากเราปล่อยบ้านให้เช่า เราได้เงินไหลเข้ามาเรื่อยๆ บ้านหลังนั้นก็จะกลายเป็น 'ทรัพย์สิน'

คนส่วนใหญ่เมื่อมีรายได้ (Income) เข้ามาก็มักจะไหลออกไปกับรายจ่าย (Expenses) หรือบางคนมีหนี้ด้วย เงินก็จะไหลออกไปยังช่อง หนี้สิน (Liabilities) ด้วยเช่นกัน ทำให้คนส่วนใหญ่มักจะบ่นว่าไม่มีเงินเหลือเก็บ และมนุษย์เราก็มีความสามารถพิเศษสุดๆในการขยับรายจ่ายให้ไปใกล้หรือแซงรายรับได้เสมอ ไม่ว่ารายรับจะเพิ่มขึ้นมากแค่ไหนก็ตาม

ถ้าหากเราอยากมั่นคง หรืออยากร่ำรวย หน้าที่ของเราก็ง่ายๆครับ เพิ่มทรัพย์สินที่มีให้มากกว่ารายจ่ายและหนี้สินที่มี อยากรวยมากก็เพิ่มทรัพย์สินให้มากขึ้น บางคนอาจจะตอบว่าตอนนี้เขาก็มีเงินเดือนมากกว่ารายจ่ายและหนี้สินอยู่มาก สามารถซื้อของแบรนด์เนมมาใช้ได้อย่างสบายๆ แต่สิ่งที่เขาขาดคืออะไรรู้มั้ยครับ สิ่งที่เขาขาดคือ 'เวลา' นั่นเอง คิดดูนะครับว่ามีเงินเยอะแค่ไหนแต่ไม่มีเวลาใช้เงิน มันดีแน่แล้วหรอ

บทความที่เกี่ยวข้อง รวยแค่ไหนถึงพอ 

และด้านบนนี้เป็นหลักแนวคิดกระแสเงินสดที่ผมยึดถือมาโดยตลอด ทีนี้เราก็มาดูประเภทของรายได้กันต่อเลยนะครับ

รูปจาก Richdad.com

รายได้ตามแนวคิดของ "โรเบิร์ต คิโยซากิ" นั้นจะแบ่งออกเป็น 4 ประเภทด้วยกัน หรือที่เรียกกันว่า เงิน 4 ด้าน โดยแบ่งเป็น E S B I

E = Employee คือเงินเดือนของเรานี่เองครับ
S = Self employed คือพวก Freelance หรือพวกเจ้าของธุรกิจเล็กๆ
B = Business owner คือเจ้าของกิจการ(ขนาดใหญ่)
I = Investor คือ นักลงทุน

รายทั้ง 4 นี้ E กับ S จะเป็นรายได้ที่คุณต้องลงมือทำ เพราะถ้าคุณหยุด รายได้คุณก็จะหายไป ส่วนรายได้ของ B และ I นั้น เป็นรายได้ที่ถือได้ว่าเป็น Passive Income คือ คุณไม่อยู่เงินก็ยังไหลเข้ากระเป๋าคุณเรื่อยๆ (ฟังดูดีมาก) ถ้าให้คุณเลือกว่าอยากได้รายได้แบบไหน ผมเชื่อว่าหลายๆคนคงเลือก B และ I แน่ๆ แต่ก็แน่หล่ะ รายได้ของสองช่องทางนี้ไม่ได้ตื่นมาแล้วสามารถทำได้เลย มันจะต้องเกิดจากการศึกษาและเรียนรู้

เอาหล่ะ เรารู้ละว่าถ้าเราอยากรวยเราต้องทำอย่างไร และมีรายได้กี่ทางที่เราสามารถทำได้ มาเริ่มต้นจากการสำรวจตัวเองก่อนละกันครับว่าตอนนี้เราอยู่จุดไหนกัน มีรายได้จากทางไหนบ้าง มีรายจ่ายเท่าไหร่ต่อเดือน มีสินทรัพย์ในมือบ้างมั้ย และมีหนี้สินอยู่เท่าไหร่ สำหรับเราๆที่เป็นมนุษย์เงินเดือนนั้นแน่นอนว่ารายได้หลักของเรามาจากเงินเดือน ซึ่งมันคือ Active income ทีนี้ก็มาดูกันว่าเรามีเอาเงินไปลงทุนอะไรรึเปล่า มีลงทุนในหุ้นบ้างมั้ย หรือว่าเราได้มีการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์บ้างมั้ย ถ้ายังนั่นแปลว่าเรายังมีรายได้ทางเดียวอยู่ และยังห่างไกลจากคำว่ามั่มคงนัก ดังนั้นเราต้องเพิ่มช่องทางรายได้ให้กับตัวเองครับ โดยเรามีทางเลือกอยู่ 2 ช่องทาง คือ เป็นเจ้าของธุรกิจ และ ลงทุนในทรัพย์สิน

บทความที่เกี่ยวข้อง แนวทางการบริหารเวลาในการเริ่มธุรกิจขณะที่ทำงานประจำ 

รายได้จากการทำธุรกิจนั้นเป็นรายได้ที่สามารถทำเงินได้ไวที่สุด แต่ก็มาพร้อมกับความเสี่ยงที่สูงเช่นกัน เดี๋ยวนี้การสร้างธุรกิจก็ทำได้ง่ายขึ้น แต่ธุรกิจที่เพิ่งเริ่มรายได้ของเราจะอยู่ในส่วนของตัว S หรือ "Self Employed" เพราะเรายังคงเป็นส่วนหนึ่งของธุรกิจอยู่ ไม่เหมือนบริษัทใหญ่ที่เรามีมืออาชีพมาดูแลในแต่ละหน้าที่ ให้บริษัทสามารถเดินหน้าได้แม้เราจะไม่นั่งทำงานด้วย แต่ก็ใช่ว่าเราจะพัฒนาธุรกิจของเราให้เป็นธุรกิจที่ใหญ่ไม่ได้นะครับ สิ่งที่เราต้องทำก็คือ ค่อยๆสร้างระบบขึ้นมา ดูเรื่องการเงินของบริษัทให้ดี เมื่อเราดูแล้วว่าถ้าเราจ้างคนมาทำงานส่วนตรงนี้ได้ หรือสามารถตัดส่วนนี้ให้ outsource ทำได้ เราจะสามารถไปโฟกัสงานที่สามารถทำให้รายได้เราโตขึ้นได้ เราก็ควรจ้างมาช่วยนะครับ หลังจากนั้นเราก็ค่อยๆเพิ่มทีมขึ้นไปเรื่อยๆจนสุดท้ายก็จ้างคนมาบริหารแทนได้ในที่สุด (หมายเหตุ จากจุดเริ่มต้นจนถึงภาพสุดท้ายนั้นคงไม่สามารถเกิดขึ้นได้ภายในปีหรือสองปีนะครับ อย่าใจร้อนจนเกินไปครับ)

แต่หากว่าเราไม่ชอบทำธุรกิจ หรือเราไม่ถนัด เราก็ยังสามารถสร้างความร่ำรวยให้ตัวเองได้อยู่นะครับ โดยการ 'ลงทุน' ไม่ว่าจะลงทุนในหุ้น หรือในอสิงหาฯ หรือที่อื่นๆ แต่จะลงทุนอะไรก็ตาม เราจำเป็นจะต้องศึกษาในสิ่งที่เราจะลงทุนให้ดี เพราะมันไม่เหมือนธุรกิจที่เราสร้างเอง เราไม่สามารถเข้าไปยุ่งกับการบริหารเขาได้ (เว้นแต่ว่าเราจะถือหุ้นมากพอ) บางคนบอกว่าเขามีลงทุนในหุ้นครับ เขาซื้อๆขายๆอยู่ตลอดเวลา ผมบอกเลยว่าแบบนั้นเราไม่เรียกว่าเป็น Passive income หรอกครับ อย่าลืมว่า Passive Income คือรายได้ที่ไหลสู่กระเป๋าของเราแม้ว่าเราไม่ต้องลงมือทำงานแต่อย่างใด แต่การซื้อๆขายๆหุ้นนั้นไม่ต่างจากการซื้อมาขายไปหรอกครับ การลงทุนในหุ้นที่จะได้รายได้แบบ Passive Income คือการลงทุนในหุ้นที่มีพื้นฐานที่ดี แล้วถือกันยาวๆไปเลย หรือเรียกกันว่าการลงทุนแบบ Value Investment หรือเรียกสั้นๆว่า VI นั่นเอง ใครยังไม่รู้มันคืออะไร ผมแนะนำให้เข้าไปเรียนคอร์สออนไลน์ฟรีกันเลยได้ที่ คอร์สสอนรวยหุ้นแบบมีเวลาด้วย หลักสูตร Jitta 101 ลงทุนสไตล์ VI (หลักสูตรฟรี)

บทความที่เกี่ยวข้อง ลงทุนในหุ้นมีกี่แบบ และแต่ละแบบแตกต่างกันอย่างไร ??

ก็หวังว่าแนวคิดทางการเงินนี้จะช่วยให้เพื่อนๆร่ำรวยขึ้นนะครับ หากเรามีฝัน จงมุ่งหน้าเดินไปให้ถึง หรืออย่างน้อยก็ให้ใกล้เคียงกับเป้าหมายของเราให้มากที่สุด ใช้ข้อดีของการมีงานประจำให้เกิดประโยชน์สูงสุดนะครับ แบ่งรายได้ของเงินเดือนที่ได้รับแบ่งออกเป็นส่วนๆเพื่อเก็บไว้เริ่มธุรกิจ หรือเริ่มลงทุนกัน มีน้อยก็เริ่มน้อยๆ ค่อยๆเพิ่มตามจังหว่ะที่เหมาะสม จนวันหนึ่งคุณอาจจะมีรายได้จากธุรกิจ หรือรายได้จากการลงทุนที่มากกว่าเงินเดือนของคุณก็เป็นได้ และถึงตอนนั้นคุณสามารถเลือกได้ว่า คุณจะทำงานที่บริษัทต่อไป หรือจะออกไปผจญโลกกว้างด้วยตัวเอง

หนังสือแนะนำ รีวิวหนังสือ/E-BOOK "BLUEPRINT ZONE เทรดเข้าเป้า" #TRADE


Comments